บทที่1 : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
บทที่1 : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ
คอมพิวเตอร์
(COMPUTER) หมายถึง
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างหนึ่งที่สามารถรับโปรแกรมและข้อมูล ประมวลผล
สื่อสารเคลื่อนย้ายข้อมูลและแสดงผลลัพธ์ได้
เทคโนโลยี (TECHNOLOGY) หมายถึง การนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์หรือความรู้ด้านอื่น ๆ
มาประยุกต์ใช้งานด้านใดด้านหนึ่งเพื่อใหงานนั้นมีความสามารถและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
สารสนเทศ (INFORMATION) หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการเก็บรวบรวม และเรียบเรียง
ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศ
(INFORMATION TECHNOLOGY : IT ) หมายถึง
การนำเทคโนโลยีมาใช้งานที่เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลเพื่อให้ได้เป็นสารสนเทศ
เป็นเทคโนโลยีที่ใช้เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์กับเทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อช่วยในการติดต่อสื่อสารและการส่งผ่านข้อมูลและสารสนเทศ
ให้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น
องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ มีส่วนประกอบดังนี้
1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง เช่น แป้นพิมพ์ เมาส์
หน่วยประมวลผลกลาง จอภาพ เครื่องพิมพ์ และอุปกรณ์อื่น ๆ
ฮาร์ดแวร์จะทำงานตามโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้น
2. ซอฟต์แวร์ (Software) บางครั้งเรียกว่าโปรแกรม
หรือชุดคำสั่งวัตถุประสงค์หลักของซอฟต์แวร์ที่สั่งให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน
คือการประมวลผลข้อมูล (Data) ให้เป็นสารสนเทศ (Information)
3. เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการติดต่อสื่อสาร
(Computer network and communication)
4. ข้อมูลและฐานข้อมูล (Data and
database) ในการประมวลผลข้อมูล
คอมพิวเตอร์จะประมวลผลตามข้อมูลที่ป้อนเข้าสู่หน่วยรับข้อมูล
ดังนั้นข้อมูลจึงเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในการประมวลผลเพื่อให้ได้สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ
วงจรการทำงานของคอมพิวเตอร์
ในการทำงานของคอมพิวเตอร์
จะมีขั้นตอนการทำงานพื้นฐาน 4 ขั้นตอน
1. รับข้อมูล (INPUT) คอมพิวเตอร์จะทำหน้าที่รับข้อมูลเพื่อนำไปประมวล
อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ แป้นพิมพ์ (KEYBOARD) และเมาส์ (MOUSE) เป็นต้น
2. ประมวลผล (PROCESS) เมื่อคอมพิวเตอร์รับข้อมูลเข้าสู่ระบบแล้ว
จะทำการประมวลผลตามโปรแกรมหรือคำสั่งที่กำหนด เช่น การคำนวณภาษี
การคำนวณเกรดเฉลี่ย เป็นต้น
3. แสดงผล (OUTPUT) คอมพิวเตอร์จะแสดงผลลัพธ์ที่ได้จากดการประมวลผลไปยังหน่วยแสดงผล
อุปกรณ์ทำหน้าที่แสดงที่ใช้แพร่หลายในปัจจุบัน ได้แก่ จอภาพ (MONITOR)และเครื่องพิมพ์ (PRINTER)เป็นต้น
คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์
เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีจุดเด่น
4 ประการ เพื่อทดแทนข้อจำกัดของมนุษย์ เรียกว่า 4 S SPECIAL ดังนี้
1.
หน่วยเก็บ (STORAGE)
หมายถึง ความสามารถในการเก็บข้อมูลจำนวนมากและเป็นเวลานาน
นับเป็นจุดเด่นทางโครงสร้างและเป็นหัวใจของการทำงานแบบอัตโนมัติของเครื่องคอมพิวเตอร์
ทั้งเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องด้วย
2.
ความเร็ว (SPEED)
หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล (PROCESSING SPEED) โดยใช้เวลาน้อย
เป็นจุดเด่นทางโครงสร้างที่ผู้ใช้ทั่วไปมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุด
เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สำคัญส่วนหนึ่งเช่นกัน
3.
ความเป็นอัตโนมัติ (SELF ACTING)
หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลตามลำดับขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องอย่างอัตโนมัติ
โดยมนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องเฉพาะในขั้นตอนการกำหนดโปรแกรมคำสั่งและข้อมูลก่อนการประมวลผลเท่านั้น
4.
ความน่าเชื่อถือ (SURE)
หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
ความน่าเชื่อถือนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
ความสามารถนี้เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคำสั่งและข้อมูลที่มนุษย์กำหนดให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง
กล่าวคือ หากมนุษย์ป้อนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน
จากการที่คอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่นหลายประการ
ทำให้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันในสังคมเป็นอย่างมาก
ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ การใช้ในการพิมพ์เอกสารต่าง ๆ เช่น พิมพ์จดหมาย
รายงาน เอกสารต่าง ๆ ซึ่งเรียกว่างานประมวลผล ( WORD PROCESSING ) นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ อีกหลายด้าน
ดังต่อไปนี้
1. งานธุรกิจ เช่น บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนโรงงานต่างๆ
ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำบัญชี งานประมวลคำ
และติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบโทรคมนาคม นอกจากนี้งาน อุตสาหกรรม ส่วนใหญ่ก็ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุมการผลิต
และการประกอบชิ้นส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์
ซึ่งทำให้การผลิตมีคุณภาพดีขึ้นบริษัทยังสามารถ
รับ หรืองานธนาคาร
ที่ให้บริการถอนเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ ( ATM ) และใช้คอมพิวเตอร์คิดดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน
และการโอนเงินระหว่างบัญชี เชื่อมโยงกันเป็นระบบเครือข่าย
2. งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข
สามารถนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในนำมาใช้ในส่วนของการคำนวณที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่น
งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการส่งจรวดไปสู่อวกาศ หรืองานทะเบียน
การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สำหรับการตรวจรักษาโรคได้
ซึ่งจะให้ผลที่แม่นยำกว่าการตรวจด้วยวิธีเคมีแบบเดิม และให้การรักษาได้รวดเร็วขึ้น
3. งานคมนาคมและสื่อสาร ในส่วนที่เกี่ยวกับการเดินทาง
จะใช้คอมพิวเตอร์ในการจองวันเวลา ที่นั่ง ซึ่งมีการเชื่อมโยงไปยังทุกสถานีหรือทุกสายการบินได้
ทำให้สะดวกต่อผู้เดินทางที่ไม่ต้องเสียเวลารอ
อีกทั้งยังใช้ในการควบคุมระบบการจราจร เช่น ไฟสัญญาณจราจร และ การจราจรทางอากาศ
หรือในการสื่อสารก็ใช้ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพื่อให้อยู่ในวงโคจร
ซึ่งจะช่วยส่งผลต่อการส่งสัญญาณให้ระบบการสื่อสารมีความชัดเจน
4. งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม
สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบ หรือ จำลองสภาวการณ์ ต่างๆ เช่น
การรับแรงสั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหว
โดยคอมพิวเตอร์จะคำนวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง รวมทั้งการใช้ควบคุมและติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ
เช่น คนงาน เครื่องมือ ผลการทำงาน
5. งานราชการ
เป็นหน่วยงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุด โดยมีการใช้หลายรูปแบบ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทบาทและหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ
มีการใช้ระบบประชุมทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์ , กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ได้จัดระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อมโยงไปยังสถาบันต่างๆ , กรมสรรพากร ใช้จัดในการจัดเก็บภาษี บันทึกการเสียภาษี เป็นต้น
6. การศึกษา ได้แก่
การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอน ซึ่งมีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยการสอนในลักษณะบทเรียน CAI หรืองานด้านทะเบียน ซึ่งทำให้สะดวกต่อการค้นหาข้อมูลนักเรียน
การเก็บข้อมูลยืมและการส่งคืนหนังสือห้องสมุด
ประเภทของคอมพิวเตอร์
1. ซูเปอร์คอมพิวเตอร์
(SUPERCOMPUTER) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
และมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด สามาถประมวลผลคำสั่งได้ 100 ล้านคำสั่งต่อนาที
เหมาะกับงานที่ต้องใช้ความละเอียด มีการคำนวณซับซ้อน และต้องการความถูกต้องแม่นยำ
เช่น การพยากรณ์อากาศ การทดสอบทางอวกาศ งานสื่อสารดาวเทียม
งานวิจัยพลังงานนิวเคลียร์ งานวิจัยขีปนาวุธ งานวิจัยวิทยาศาสตร์
เป็นต้น
2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (MAINFRAME COMPUTER) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพรองจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ สามารถรองรับการทำงานจากผู้ใช้ได้หลายร้อยคน ประมวลผลด้วยความเร็วสูง
มีหน่วยความจำขนาดใหญ่ การจัดเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมากใช้กับองค์การขนาดใหญ่ เช่น
งานธนาคาร การจองตั๋วเครื่องบิน การลงทะเบียนและการตรวจสอบผลการเรียนของนักศึกษา
งานสำมะโนประชากรของรัฐบาล ประกันชีวิตเป็นต้น
3. มินิคอมพิวเตอร์ (MINICOMPUTER) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานน้อยกว่าเมนเฟรมแต่สูงกว่าไมโครคอมพิวเตอร์
เหมาะกับงานที่มีข้อมูลจำนวนมาก
สามารถรับรองการทำงานจากผู้ใช้ได้หลายคนในการทำงานที่แตกต่างกัน เช่น
การคำนวณทางด้านวิศวกรรม ทำให้การพัฒนามินิคอมพิวเตอร์เจริญอย่างรวดเร็ว การจองห้องโรงแรม
การทำงานด้านบัญชีขององค์การธุรกิจ เป็นต้น
4. ไมโครคอมพิวเตอร์ (MICROCOMPUTER) เป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีผู้นิยมใช้แพร่หลายมาก ที่สุด
มีขนาดเล็กและราคาถูก เคลื่อนย้ายได้สะดวก สามารถใช้งานโดยผู้ใช้คนเดียว (STAND
ALONE) เหมาะกับงาน WORD PRECESSING, SPEEAD
SHEET, ACCORTING จัดทำสิ่งพิมพ์ แบ่งได้ดังนี้
1. แบบติดตั้งใช้งานอยู่กับที่บนโต๊ะทำงาน
(DESKTOP COMPUTER)
2. คอมพิวเตอร์
แล็ปท็อป (NOTEBOOK) พกพาสะดวก
3. คอมพิวเตอร์
แทปเลท (TABLET COMPUTER) มีลักษณะคล้ายโน๊ตบุ๊ค
แต่มีความแตกต่าง คือ สามารถป้อนข้อมูลทางจอภาพได้ (ใช้ปากกาชนิดพิเศษ)
4. คอมพิวเตอร์ขนาดพกพา(HANDHELD
COMPUTER) มีขนาดเท่าฝ่ามือ เช่น PALMTOP, PDA (PERSONAL DIGITAL
ASSISTANT)
รูปแบบการประมวลผลของคอมพิวเตอร์
1. การประมวลผลส่วนบุคคล (PERSONAL COMPUTING :
PC) งานเกี่ยวกับการประมวลผลคำ, งานด้านกราฟฟิก ตารางจัดการ การเขียนโปรแกรม
2. การประมวลผลแบบรวมศูนย์ (CENTRALIZED COMPUTING) มีเครื่องแม่ข่ายเท่านั้น ที่ทำการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลทุกส่วน
3. การประมวลผลแบบกระจาย (DISTRIBUTED COMPUTING) คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต้องเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย โดยมีเครื่องแม่ข่าย
(SERVER) ทำการแจกจ่ายหน้าที่การทำงาน
โดยเครื่องลูกข่ายมีความสามารถในการจัดเก็บและทำหน้าที่บางส่วนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องแม่ข่าย
โครงสร้างข้อมูล
(DATA STRUCTURE)
บิต (BIT) คือ ข้อมูลที่มีขนาดเล็กที่สุด
เป็นข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและนำไปใช้งานได้ ซึ่งได้แก่ เลข 0
หรือ เลข 1 เท่านั้น
ไบต์ (BYTE) หรือ อักขระ (CHARACTER) ได้แก่ ตัวเลข หรือ
ตัวอักษร หรือ สัญลักษณ์พิเศษ 1 ตัว เช่น 0, 1,
…, 9, A, B, …, Z และเครื่องหมายต่างๆ
ซึ่ง 1 ไบต์จะเท่ากับ 8 บิต หรือ ตัวอักขระ 1 ตัว เป็นต้น
ฟิลด์ (FIELD) ได้แก่ ไบต์ หรือ อักขระตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไปรวมกันเป็นฟิลด์ เช่น เลขประจำตัว ชื่อพนักงาน เป็นต้น
เรคคอร์ด (RECORD) ได้แก่ ฟิลด์ตั้งแต่ 1 ฟิลด์ ขึ้นไป ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องรวมกันเป็นเรคคอร์ด
เช่น ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัว ยอดขาย ข้อมูลของพนักงาน 1 คน เป็น 1 เรคคอร์ด
ไฟล์ (FILES) หรือ แฟ้มข้อมูล ได้แก่ เรคคอร์ดหลายๆ เรคคอร์ดรวมกัน
ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกัน เช่น
ข้อมูลของประวัติพนักงานแต่ละคนรวมกันทั้งหมดเป็นไฟล์หรือแฟ้มข้อมูลเกี่ยวกับประวัติพนักงานของบริษัท
เป็นต้น
ฐานข้อมูล (DATABASE) คือ การเก็บรวบรวมไฟล์ข้อมูลหลายๆ
ไฟล์ที่เกี่ยวข้องกันมารวมเข้าด้วยกัน เช่น ไฟล์ข้อมูลของแผนกต่างๆ
มารวมกันเป็นฐานข้อมูลของบริษัท เป็นต้น
การวัดขนาดข้อมูล
ในการพิจารณาว่าข้อมูลใดมีขนาดมากน้อยเพียงไร
เรามีหน่วยในการวัดขนาดของข้อมูล
ดังต่อไปนี้
8 BIT =1 BYTE
1,024 BYTE
= 1 KB (กิโลไบต์)
1,024 KB = 1 MB (เมกกะไบต์)
1,024 MB = 1 GB (กิกะไบต์)
1,024 GB = 1TB (เทระไบต์)
อินเตอร์เนตเบื้องต้น
อินเทอร์เนตคืออะไร ?
อินเทอร์เนต
(INTERNET) คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เกิดขึ้นจากระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เล็ก ๆ รวมกันเป็นระบบเครือข่ายใหญ่
เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลกันทั่วโลก
อินเทอร์เนตเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
รากฐานของอินเทอร์เนต เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว
โดยเริ่มจากเครือข่าย ARPANET ของกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา
ซึ่งมีความประสงค์ที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลวิจัยทางการทหาร
หลักจากนั้นระบบเครือข่ายย่อยอื่น ๆ ก็ได้ทำการต่อเชื่อมและขยายแวดวงออกไปทั่วโลก
ดังนั้นอินเทอร์เนตจึงไม่ได้เป็นของใครหรือของกลุ่มใดโดยเฉพาะ
อินเทอร์เนตทำอะไรได้บ้าง ?
เดิมทีการใช้บริการจำกัดให้ใช้ในด้านการศึกษาวิจัยและอยูในแวดวงการศึกษาเท่านั้น
ต่อมาได้มีการขยายในเชิงธุรกิจมากขึ้น ทำให้ขอบข่ายการใช้ INTERNET มีมากมาย เช่น
1. สามารถติดต่อกับคนได้ทั่วโลก
2. สามารถใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล , ความคิดเห็น
3. สามารถใช้ช่วยในการค้นหาและโอนย้าย SOFTWARE ต่าง ๆ มาได้ฟรี
4. สามารถค้นคว้าวิจัย
เปรียบเหมือนคุณเข้าห้องสมุดไปศึกษาค้นคว้าหนังสือต่าง ๆ
โดยที่ตัวคนเองไม่ต้องไปยังห้องสมุดนั้น
5. สามารถอ่านข่าวสารของกลุ่มสนทนาต่าง ๆ
6. สามารถท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ
ได้ทั่วโลก เช่น พิพิธภัณฑ์ , สวนสัตว์ เป็นต้น
บริการต่าง
ๆ ของอินเทอร์เนต
1. ELECTRONIC MAIL (E-MAIL)
2. WORLD WIDE WEB (WWW)
3. FTP (FILE TRANSFER PROTOCOL)
4. TELNET
5. USENET / NEWS GROUPS
1.
ไปรษณีย์อิเลคทรอนิคส์ (ELECTRONIC MAIL หรือ E-MAIL)
เป็นบริการหนึ่งบนอินเทอร์เนตที่คนนิยมใช้กันมากคือส่งจดหมายโดยทางคอมพิวเตอร์ถึงผู้ที่มีบัญชีอินเทอร์เนต
ด้วยกันไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลคนละซีกโลกจดหมายก็จะไปถึงอย่างสะดวกรวดเร็วและง่ายดายโปรแกรมที่ใช้
ในการรับ-ส่งจดหมายอิเลคทรอนิคส์นั้นมี หลายโปรแกรมด้วยกันแล้วแต่จะเลือก ใช้ตาม
ความ ชอบหรือความถนัด โปรแกรมที่พูดถึงก็เช่น EUDORA, PINE, NETSCAPE
MAIL, MICORSOFT EXPLORERและอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นต้น
2. WORLD WIDE WEB (WWW)
เป็นการเข้าสู่ระบบข้อมูลอย่างหนึ่งที่กำลังเป็นที่ฮิตสุดบนอินเทอร์เนต
ข้อมูลนี้จะอยู่ในรูปของ INTERACTIVE MULTIMEDIA คือ
มีทั้งรูปภาพ ข้อความ ภาพเคลื่อนไหว เสียง และวีดีโอ
อีกทั้งข้อมูลเหล่านี้ยังใช้ระบบที่เรียกว่า HYPERTEXT กล่าวคือ จะมีคำสำคัญหรือรูปภาพในข้อมูลนั้นที่จะช่วยให้ท่านเข้าสู่รายละเอียดที่ลึกและกว้างขวางยิ่งขึ้น
คำสำคัญดังกล่าวจะเป็นคำที่เป็นตัวหนา หรือขีดเส้นใต้
เพียงแต่ท่านเลือกกดที่คำที่เป็นตัวหนาหรือขีดเส้นใต้ นั้น ๆ
ท่านก็สามารถเข้าสู่ข้อมูลเพิ่มเติมได้
(ข้อมูลเหล่านี้จะมีผู้สร้างขึ้นมาและเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ทั่วโลก)
UNIFORM
RESOURCE LOCATOR (URL) คือที่อยู่ของข้อมูลบน WWW ซึ่งถ้าเราจะหาข้อมูลเราต้องทราบที่อยู่ของ HOMEPAGE หรือ URL ก่อน ตัวอย่างที่อยู่ของ HOMEPAGE ของกลุ่มเซนต์จอห์นคือHTTP://WWW.STJOHN.AC.TH ส่วนโปรแกรมที่ช่วยให้เข้าสู่ข้อมูลที่อยู่บน WWW ได้ คือ NETSCAPE และMICROSOFT
EXPLORER เป็นต้น
3. FTP (FILE TRANSFER PROTOCOL)
คือ บริการที่ใช้ในการโอนย้าย FILE หรือข้อมูลจากคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกคอมพิวเตอร์หนึ่ง
ในเครือข่ายอินเทอร์เนตถ้าเครื่องนั้นๆต่อเข้ากับระบบที่เป็นอินเทอร์เนตก็สามารถโอนย้ายข้อมูลกันได้เครื่อง
คอมพิวเตอร์บางที่นั้นจะทำหน้าที่ เป็นศูนย์รวมของข้อมูลต่าง ๆ เช่น รูปภาพ , ข้อความ , บทความ , คู่มือ และโปรแกรมต่าง ๆ ที่เป็น FREEWARE หรือ SHAREWARE เและเปิดให้เข้าไปโอนย้านมาได้ฟรี
โปรแกรมที่จะช่วยในการโอนย้ายข้อมูล ก็เช่น NETSCAPE, TELNET
WSFTP เป็นต้น
4.TELNET
เป็นบริการที่ช่วยให้เราสามารถเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อื่นเสมือนหนึ่งไปนั่งใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของที่นั่น
โปรแกรมที่ช่วยให้ท่านใช้บริการนี้ได้คือ โปรแกรม NCSA TELNET เมื่อเปิดโปรแกรมแล้วให้พิมพ์คำสั่งTELNET ดังในรูปภาพข้างล่างเมื่อท่านใช้คำสั่ง TELNET แล้วให้พิมพ์ที่อยู๋ของแหล่งข้อมูลนั้น
ท่านก็จะสามารถเข้าสู่ระบบข้อมูลนั้น ๆ
ได้เสมือนท่านไปนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเครื่อง ๆ นั้นเลยทีเดียว ระบบTELNET
5. USENET / NEWS GROUPS
เป็นบริการที่ช่วยให้ท่านเข้าสู่ข่าวสารข้อมูลของกลุ่มสนทนาแลกเปลี่ยนปัญหาข้อสงสัยข่าวสารต่าง
ๆ กลุ่มเหล่านี้จะมีสารพัดกลุ่มตามความสนใจ โปรแกรมที่ช่วยให้ท่านใช้บริการนี้ คือ
โปรแกรม NETSCAPE NEWSที่อยู่ใน โปรแกรม NETSCAPE
NAVIGATOR GOLD 3.0 เมือเปิดโปรแกรมดังกล่าว
จากนั้นรายชื่อของกลุ่มสนทนาจะปรากฎขึ้นให้ท่านเลือกอ่านตามใจชอบ
หากจะใช้ INTERNET ควรต้องมีอะไรบ้าง ?
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่อเชื่อมอยู่ในเครือข่ายอินเทอร์เนต
การต่อเครื่องเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบเครือข่ายอินเทอร์เนตนั้น
ลักษณะการต่อจะขึ้นอยู่กับความเร็วของสายที่ต่อเชื่อม
2. หากท่านต้องการใช้บริการอินเทอร์เนตจากที่บ้าน
โดยการต่อคอมพิวเตอร์ที่บ้านให้เข้าสู่ ระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต ท่านต้องมี MODEM
(โมเด็ม) หรือตัวแปลงสัญญาณ
โมเด็มจะเป็นตัวช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของท่านรับข้อมูลจากอินเทอร์เนต
ได้ความเร็วของ MODEM ควรจะเป็นอย่างต่ำ 14.1 KBPS หรือมากกว่านั้น (KILOBYTE PER SECOND = อัตราความเร็วในการส่งข้อมูล)
3. หากท่านใช้บริการอินเทอร์เนตจากที่ทำงาน มหาวิทยาลัยหรือโรงเรียน
สำหรับหน่วยงาน
ใหญ่
ๆ มักจะมีการต่อเชื่อมเข้ากับระบบอินเทอร์เนตด้วยการใช้สายเช่า
ซึ่งมีความเร็วในการส่งสัญญาณสูงแทนโมเด็ม
และจะต้องมีโปรแกรมที่ช่วยให้ท่านเข้าสู่ระบบอินเทอร์เนต
ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเลือกใช้บริการอะไร ตัวอย่างเช่น หารกจะใช้ E-MAIL (ELECTRONIC MAIL) หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
โปแกรมที่จะใช้ได้ เช่นPINE , EUDORA , NETSCAPE MAIL, MICROSOFT
EXPLORER แต่ถ้าจะใช้ WWW ก็ต้องใช้โปรแกรมNETSCAPE เป็นต้น
4. INTERNET ACCOUNT ท่านต้องเปิดบัญชีอินเทอร์เนต
เหมือนกับต้องจดทะเบียนมีชื่อและที่อยู่บนอินเทอร์เนต
เพื่อที่ว่าเวลาติดต่อสื่อสารกับใครบนอินเทอร์เนต
จะได้มีข้อมูลส่งกลับมาหาท่านได้ถูกที่
มารยาทในการใช้อินเตอร์เนต
(NETIGUETTE)
1. การใช้อักษรพิมพ์ตัวใหญ่หมดทุกตัวในการเขียนจดหมายจะเป็นเสมือนการตะโกน
ดังนั้นควรเลือกใช้ตัวอักษรให้เหมาะสม
2. ไม่ควรใช้อารมณ์ในการตอบโต้
และควรรักษามารยาทโดยใช้คำที่สุภาพ
3. ไม่มีความลับใด ๆ บน INTERNET ให้นึกเสมอว่าข้อความของเราจะมีคนอ่านมากมายเมื่อเขียนไปแล้วไม่สามารถลบล้างได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น